- แบรนด์และพันธมิตร
-
เกี่ยวกับกรุงศรี คอนซูมเมอร์
- เกี่ยวกับกรุงศรี คอนซูมเมอร์
- รู้จักกรุงศรี คอนซูมเมอร์
- พบกับคณะผู้บริหาร
-
นวัตกรรม
- นวัตกรรมจากกรุงศรี คอนซูมเมอร์
- LINE OFFICIAL ACCOUNT
- UCHOOSE
- AI MANOW (น้องมะนาว)
- VOICE AUTHENTICATION
- DATA MONETIZATION
- บริการลูกค้า
-
ข่าวประชาสัมพันธ์
- ข่าวประชาสัมพันธ์
- ข่าวล่าสุด
- รายการข่าว
- ไลฟ์สไตล์
- ร่วมงานกับเรา


การวางแผนการเงินที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่นคงทางการเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนทุกคน แต่หลายคนมักประสบปัญหาในการจัดสรรเงินให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายและการออมอย่างเหมาะสม วันนี้ Krungsri Consumer ได้รวบรวมเทคนิคการแบ่งเงินเดือนด้วยสูตร 50/30/20 ที่จะช่วยให้คุณจัดการรายรับรายจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเงินเหลือเก็บอย่างเป็นระบบ
รู้จักสูตร 50/30/20 คืออะไร?
สูตร 50/30/20 เป็นหลักการวางแผนการเงินอย่างง่ายที่แนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหลายท่าน โดยแนวคิดหลักคือการแบ่งรายได้หลังหักภาษีออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ: 50% สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น, 30% สำหรับความต้องการส่วนตัว และ 20% สำหรับการออมและการลงทุน วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถควบคุมการใช้จ่าย จัดการหนี้สิน และสร้างเงินออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องอดออมจนเกินไป
50% ค่าใช้จ่ายจำเป็น (Needs)
ส่วนแรกของการวางแผนการเงินคือการจัดสรร 50% ของรายได้สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ค่าใช้จ่ายในหมวดนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของคุณ การควบคุมให้อยู่ในสัดส่วนนี้จะช่วยให้คุณมีเงินเหลือไว้สำหรับหมวดอื่นๆ
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในหมวดนี้ได้แก่: ค่าเช่าบ้าน, ค่าผ่อนบ้าน, ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าอาหารประจำวัน, ค่าเดินทาง, ค่าประกันต่างๆ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพที่จำเป็น
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในหมวดนี้ได้แก่: ค่าเช่าบ้าน, ค่าผ่อนบ้าน, ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าอาหารประจำวัน, ค่าเดินทาง, ค่าประกันต่างๆ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพที่จำเป็น
30% ไลฟ์สไตล์และความสุขส่วนตัว (Wants)
ส่วนที่สองคือการจัดสรร 30% ของรายได้สำหรับความต้องการส่วนตัวและกิจกรรมเพื่อความสุขหรือความบันเทิง ค่าใช้จ่ายในหมวดนี้ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและความสุขให้กับคุณ ทั้งนี้ การควบคุมไม่ให้เกินสัดส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการเงินที่ดี
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในหมวดนี้ได้แก่: ค่าช้อปปิ้ง, ค่าสังสรรค์, ค่ารับประทานอาหารนอกบ้าน, ค่าสมาชิกฟิตเนส, ค่าดูหนัง, ค่าท่องเที่ยว, ค่าสมัครบริการสตรีมมิ่ง และของขวัญต่างๆ
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในหมวดนี้ได้แก่: ค่าช้อปปิ้ง, ค่าสังสรรค์, ค่ารับประทานอาหารนอกบ้าน, ค่าสมาชิกฟิตเนส, ค่าดูหนัง, ค่าท่องเที่ยว, ค่าสมัครบริการสตรีมมิ่ง และของขวัญต่างๆ
20% เงินออมและลงทุน (Savings & Investments)
ส่วนสุดท้ายคือการจัดสรร 20% ของรายได้สำหรับการออมและการลงทุนเพื่ออนาคต นี่เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการวางแผนการเงินระยะยาว เพราะเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินและอิสรภาพทางการเงินในอนาคต การออมอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 20% ของรายได้จะช่วยให้คุณมีเงินสำรองฉุกเฉินและเงินไว้ใช้ในอนาคต
ตัวอย่างในหมวดนี้ได้แก่: เงินฝากออมทรัพย์, เงินฝากประจำ, กองทุนรวม, หุ้น, พันธบัตร, การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และการชำระหนี้สินระยะยาว
ตัวอย่างในหมวดนี้ได้แก่: เงินฝากออมทรัพย์, เงินฝากประจำ, กองทุนรวม, หุ้น, พันธบัตร, การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และการชำระหนี้สินระยะยาว
ทำไมมนุษย์เงินเดือนควรใช้สูตรนี้ในการวางแผนการเงิน?
การนำสูตร 50/30/20 มาใช้ในการวางแผนการเงินมีประโยชน์มากมายสำหรับมนุษย์เงินเดือน เนื่องจากเป็นแนวทางที่ง่ายต่อการเริ่มต้นและปฏิบัติตาม คุณไม่จำเป็นต้องบันทึกค่าใช้จ่ายทุกรายการอย่างละเอียด เพียงแค่แบ่งเงินตามสัดส่วนที่กำหนดและควบคุมการใช้จ่ายในแต่ละหมวดให้อยู่ในงบประมาณ
นอกจากนี้ สูตรนี้ยังมีความยืดหยุ่นสูง คุณสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของคุณได้ เช่น หากคุณมีหนี้สินจำนวนมาก คุณอาจจัดสรรเงินมากกว่า 20% เพื่อชำระหนี้ หรือหากคุณมีเป้าหมายออมเงินที่สูงกว่า คุณอาจลดค่าใช้จ่ายในหมวด Wants ลงเพื่อเพิ่มสัดส่วนการออม
ที่สำคัญ การใช้สูตรนี้จะช่วยให้คุณมีวินัยทางการเงินมากขึ้น และสร้างนิสัยการออมที่ดี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
นอกจากนี้ สูตรนี้ยังมีความยืดหยุ่นสูง คุณสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของคุณได้ เช่น หากคุณมีหนี้สินจำนวนมาก คุณอาจจัดสรรเงินมากกว่า 20% เพื่อชำระหนี้ หรือหากคุณมีเป้าหมายออมเงินที่สูงกว่า คุณอาจลดค่าใช้จ่ายในหมวด Wants ลงเพื่อเพิ่มสัดส่วนการออม
ที่สำคัญ การใช้สูตรนี้จะช่วยให้คุณมีวินัยทางการเงินมากขึ้น และสร้างนิสัยการออมที่ดี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

ตัวอย่างการแบ่งเงินเดือนแบบ 50/30/20 ในชีวิตจริง
ลองมาดูตัวอย่างการแบ่งเงินเดือนตามสูตร 50/30/20 สำหรับคนที่มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน :
50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น (10,000 บาท)
- ค่าเช่าห้อง: 5,000 บาท
- ค่าอาหารประจำวัน: 3,000 บาท
- ค่าเดินทาง: 1,000 บาท
- ค่าน้ำ/ค่าไฟ/อินเทอร์เน็ต: 1,000 บาท
30% สำหรับไลฟ์สไตล์และความสุขส่วนตัว (6,000 บาท)
- ค่าอาหารนอกบ้าน/สังสรรค์: 2,000 บาท
- ค่าช้อปปิ้ง: 2,000 บาท
- ค่าความบันเทิง: 1,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด: 1,000 บาท
20% สำหรับเงินออมและลงทุน (4,000 บาท)
- เงินออมฉุกเฉิน: 1,500 บาท
- กองทุนรวม: 1,500 บาท
- ชำระหนี้บัตรเครดิต: 1,000 บาท
การจัดสรรเงินตามสัดส่วนนี้จะช่วยให้คุณมีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น มีเงินสำหรับความสุขส่วนตัว และยังมีเงินเก็บออมเพื่ออนาคตอีกด้วย
ใช้บัตรเครดิตอย่างไรให้สอดคล้องกับแผน 50/30/20
การใช้บัตรเครดิต อย่างชาญฉลาดสามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการวางแผนการเงินแบบ 50/30/20 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณรู้จักใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้จ่ายของตนเอง นี่คือเทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้บัตรเครดิตได้อย่างคุ้มค่าและปลอดภัย:
- แยกประเภทบัตรตามหมวดค่าใช้จ่าย - ใช้บัตรคนละใบสำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละหมวด เช่น บัตรหนึ่งสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น อีกบัตรสำหรับค่าความบันเทิง เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามและควบคุมการใช้จ่ายในแต่ละหมวดให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนด
- เลือกบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ตรงกับรูปแบบการใช้จ่าย - พิจารณาใช้บัตรเครดิต Cash Back สำหรับค่าใช้จ่ายประจำเช่นค่าน้ำมัน ค่าอาหาร หรือเลือกบัตรที่ให้คะแนนสะสมสำหรับหมวดที่คุณใช้จ่ายบ่อย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมาสูงสุด
- ตั้งวงเงินการใช้จ่ายในแต่ละบัตรตามสัดส่วน 50/30/20 - กำหนดวงเงินการใช้จ่ายผ่านบัตรแต่ละใบให้สอดคล้องกับสัดส่วนที่คุณวางแผนไว้ เช่น หากวงเงินรวมคุณคือ 50,000 บาท อาจแบ่งเป็น 25,000 บาทสำหรับ Needs, 15,000 บาทสำหรับ Wants และจำกัดวงเงินที่เหลือ
- ใช้บัตรเพื่อติดตามรายจ่าย - ใช้ประโยชน์จากรายงานการใช้จ่ายของบัตรเครดิตเพื่อติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณ ธนาคารหลายแห่งมีแอปพลิเคชันที่แสดงสรุปค่าใช้จ่ายแยกตามหมวดหมู่ ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและปรับปรุงการวางแผนการเงินได้ดีขึ้น
- ใช้ระบบผ่อนชำระอย่างฉลาด - สำหรับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่จำเป็น พิจารณาใช้แผนผ่อนชำระ 0% เพื่อกระจายภาระค่าใช้จ่ายให้พอดีกับงบประมาณรายเดือน แต่ต้องแน่ใจว่าสามารถชำระได้ตรงเวลาและยอดผ่อนรวมไม่เกินสัดส่วนที่วางแผนไว้
ข้อควรระวังในการใช้บัตรเครดิตควบคู่กับสูตร 50/30/20
แม้ว่าบัตรเครดิตจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวางแผนการเงิน แต่ก็มีข้อควรระวังที่คุณควรคำนึงถึงเพื่อไม่ให้กระทบกับแผนการเงินแบบ 50/30/20 ของคุณ
- หลีกเลี่ยงการจ่ายแค่ยอดขั้นต่ำ - การชำระเพียงยอดขั้นต่ำจะทำให้คุณเสียดอกเบี้ยสูงและเป็นหนี้ยาวนานขึ้น พยายามชำระยอดเต็มทุกเดือนเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ย
- ระวังค่าธรรมเนียมแฝง - ศึกษาค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมการถอนเงินสด หรือค่าปรับชำระล่าช้า เพื่อไม่ให้กระทบงบประมาณ
- อย่าใช้บัตรเกินวงเงินที่วางแผนไว้ - ความสะดวกในการใช้บัตรอาจทำให้คุณใช้จ่ายเกินกว่าที่ตั้งใจ ตรวจสอบยอดใช้จ่ายสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้เกินสัดส่วนที่กำหนด
- ไม่นำวงเงินบัตรมาคิดเป็นรายได้ - วงเงินบัตรไม่ใช่รายได้ของคุณ อย่านำมารวมคำนวณในการวางแผน 50/30/20 เพราะจะทำให้สัดส่วนการใช้จ่ายผิดพลาด
- ระวังการสมัครบัตรใหม่เพื่อรับโปรโมชัน - แม้จะมีข้อเสนอน่าสนใจ แต่การมีบัตรหลายใบอาจทำให้ควบคุมยาก พิจารณาความจำเป็นและประโยชน์ที่แท้จริงก่อนสมัคร
สรุปบทความ
การวางแผนการเงินด้วยสูตร 50/30/20 เป็นวิธีที่เข้าใจง่ายและมีประสิทธิภาพสำหรับมนุษย์เงินเดือนในการจัดการรายรับรายจ่าย เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน การแบ่งรายได้เป็นสัดส่วนที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น มีความสุขกับชีวิต และมีเงินออมเพื่ออนาคต Krungsri Consumer ให้บริการด้วยบัตรเครดิตหลากหลายประเภท ที่ให้คุณใช้จ่ายได้อย่างลงตัวและปลอดภัย สนับสนุนการวางแผนการเงินของคุณให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบริการได้ที่ www.krungsriconsumer.com หรือแอดไลน์ Krungsri Consumer ได้ทันที
- บัตรเครดิต ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
- สินเชื่อส่วนบุคคล กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี
- สินเชื่อส่วนบุคคล กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี